ประกันวินาศภัย ประกันชีวิต นครศรีธรรมราช

แนะนำตัวแทนประกันภัย ประกันชีวิต แห่งเมืองนครศรีธรรมราช ที่มีประสบการณ์กว่า 10 ปีในการดูแลลูกค้า คุณมณเอไอเอ ผู้คร่ำหวอดในวงการประกันภัยของนครศรีธรรมราชมาหลายปี พร้อมให้บริการคุณในทุกด้าน

บริการ

ประกันภัย ประกันชีวิต นครศรีธรรมราช

ประกันชีวิต


ประกันชีวิตสำคัญอย่างไร

ประกันชีวิตมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนทางการเงินและสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต ทั้งต่อตัวผู้ทำประกันเองและบุคคลอันเป็นที่รัก ประโยชน์หลักๆ ของประกันชีวิตมีดังนี้:

  • สร้างหลักประกันทางการเงินให้ครอบครัว: นี่คือบทบาทที่สำคัญที่สุดของประกันชีวิต หากผู้ทำประกันซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวเสียชีวิตกะทันหัน เงินสินไหมทดแทนจากประกันชีวิตจะช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของครอบครัว เช่น ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าเล่าเรียนบุตร หรือหนี้สินต่างๆ ทำให้คนที่อยู่ข้างหลังไม่ต้องเผชิญกับความลำบากทางการเงินอย่างกะทันหัน
  • เป็นเงินออมและเงินลงทุน: ประกันชีวิตบางประเภท เช่น ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ หรือ ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-linked) ไม่ได้เป็นเพียงแค่การคุ้มครองชีวิตเท่านั้น แต่ยังมีส่วนของการออมและการลงทุนอยู่ด้วย ผู้เอาประกันจะได้รับเงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา หรือมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ทำให้สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างวินัยการออมและเพิ่มพูนความมั่งคั่งได้
  • ใช้ลดหย่อนภาษีได้: เบี้ยประกันชีวิตสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นประโยชน์เพิ่มเติมที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้
  • เป็นหลักประกันสำหรับหนี้สิน: หากผู้ทำประกันมีหนี้สิน เช่น หนี้บ้าน หรือหนี้รถยนต์ และเสียชีวิตลง เงินจากประกันชีวิตสามารถนำไปชำระหนี้สินเหล่านี้ได้ ทำให้ครอบครัวไม่ต้องรับภาระหนี้สินที่ผู้เสียชีวิตทิ้งไว้
  • วางแผนเกษียณอายุ: ประกันชีวิตแบบบำนาญเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้การวางแผนเกษียณอายุเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อถึงวัยเกษียณ ผู้เอาประกันจะได้รับเงินบำนาญเป็นรายงวด ช่วยให้มีรายได้ใช้จ่ายหลังเกษียณโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเงิน
  • สร้างความอุ่นใจ: การมีประกันชีวิตช่วยให้ผู้ทำประกันและครอบครัวรู้สึกอุ่นใจว่าจะมีหลักประกันทางการเงินรองรับในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน ช่วยลดความวิตกกังวลและทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

โดยสรุปแล้ว ประกันชีวิตไม่ได้เป็นเพียงแค่การซื้อความคุ้มครองเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต เพื่อความมั่นคงทางการเงินของตนเองและคนที่คุณรักในระยะยาว

ประกันภัยรถยนต์

ประกันภัยรถยนต์ คือ การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้รถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อตัวรถยนต์เอง ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอก หรือแม้แต่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่อยู่ในรถคันเอาประกันภัย

โดยหลักแล้ว ประกันภัยรถยนต์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

  1. ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ. รถยนต์)
    • คืออะไร: เป็นประกันภัยที่กฎหมายกำหนดให้รถทุกคันต้องทำ เพื่อคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือบุคคลภายนอกที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่คำนึงว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกหรือผิด
    • ความคุ้มครองหลัก: เน้นคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพ และค่าเสียหายเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยจากรถ
    • ความสำคัญ: การไม่มี พ.ร.บ. ถือว่าผิดกฎหมายและมีโทษปรับ รวมถึงไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ประจำปีได้
  2. ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ
    • คืออะไร: เป็นประกันภัยที่เจ้าของรถเลือกทำเพิ่มเติมจาก พ.ร.บ. เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เนื่องจาก พ.ร.บ. ให้ความคุ้มครองในวงเงินที่จำกัดและไม่คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์
    • ประเภทของประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ: มีหลายประเภท โดยแต่ละประเภทจะให้ความคุ้มครองที่แตกต่างกันไป และมีเบี้ยประกันภัยที่แตกต่างกันด้วย ตัวอย่างเช่น
      • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1: ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด ทั้งความเสียหายต่อรถยนต์ที่เอาประกัน (ชน, ไฟไหม้, สูญหาย), ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (ชีวิต, ร่างกาย, ทรัพย์สิน), ค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และการประกันตัวผู้ขับขี่
      • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+: คล้ายกับชั้น 1 แต่จะคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ที่เอาประกันเฉพาะกรณีชนกับยานพาหนะทางบกและมีคู่กรณีเท่านั้น รวมถึงกรณีรถหายหรือไฟไหม้
      • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2: คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก รถหาย ไฟไหม้ แต่ไม่คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ที่เอาประกันจากการชน
      • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+: คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และความเสียหายต่อรถยนต์ที่เอาประกันเฉพาะกรณีชนกับยานพาหนะทางบกและมีคู่กรณี
      • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3: คุ้มครองเฉพาะความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (ชีวิต, ร่างกาย, ทรัพย์สิน) เท่านั้น

ความสำคัญของประกันภัยรถยนต์

  • ลดภาระค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ: อุบัติเหตุทางรถยนต์สามารถสร้างความเสียหายทางการเงินจำนวนมาก ทั้งค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล ค่าเสียหายต่อทรัพย์สินของคู่กรณี ประกันภัยรถยนต์จะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระเหล่านี้
  • สร้างความอุ่นใจ: การมีประกันภัยรถยนต์ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกอุ่นใจและมั่นใจในการใช้รถยนต์ เพราะรู้ว่ามีหลักประกันรองรับหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
  • ปฏิบัติตามกฎหมาย: การทำ พ.ร.บ. รถยนต์เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเจ้าของรถทุกคน

การเลือกประเภทของประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสม ควรพิจารณาจากพฤติกรรมการขับขี่ อายุของรถยนต์ งบประมาณ และความต้องการความคุ้มครองที่แท้จริง เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากกรมธรรม์นั้นๆ ครับ

ประกันวินาศภัย

ประกันวินาศภัย คือ การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองความเสียหายหรือความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สิน โดยไม่ใช่ความคุ้มครองชีวิตหรือสุขภาพของบุคคล ซึ่งแตกต่างจากประกันชีวิตที่เน้นคุ้มครองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของบุคคลเป็นหลัก

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นการโอนความเสี่ยงภัยจากผู้เอาประกันภัยไปยังบริษัทประกันภัย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นตามที่ระบุในกรมธรรม์ บริษัทประกันภัยจะเข้ามาเยียวยาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือบุคคลที่ได้รับความเสียหายตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้

ลักษณะสำคัญของประกันวินาศภัย:

  1. คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน: เป็นจุดเด่นหลักของประกันวินาศภัย ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถยนต์ โรงงาน สินค้า หรือสิ่งของมีค่าต่างๆ
  2. คุ้มครองความรับผิดตามกฎหมาย: ในบางกรณี ประกันวินาศภัยจะคุ้มครองความรับผิดของผู้เอาประกันภัยที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกตามกฎหมาย เช่น ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอกสำหรับธุรกิจ
  3. ความคุ้มครองแบบมีระยะเวลา: กรมธรรม์ประกันวินาศภัยส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาคุ้มครองที่แน่นอน เช่น 1 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี เมื่อครบกำหนดแล้วต้องต่ออายุกรมธรรม์
  4. ไม่มีการสะสมทรัพย์: โดยทั่วไปประกันวินาศภัยจะไม่มีส่วนของการสะสมทรัพย์หรือเงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญาเหมือนประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (ยกเว้นบางกรณีพิเศษที่อาจมีการจ่ายคืนเบี้ยประกันภัยบางส่วนในกรณีที่ไม่มีการเรียกร้องสินไหมทดแทน)
  5. หลักการชดใช้ค่าเสียหายตามจริง: โดยส่วนใหญ่แล้ว การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในประกันวินาศภัยจะเป็นไปตามหลักการชดใช้ค่าเสียหายตามจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่เกินวงเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เพื่อไม่ให้ผู้เอาประกันภัยได้รับผลประโยชน์เกินกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น

ประเภทหลักของประกันวินาศภัย:

ประกันวินาศภัยมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะของทรัพย์สินหรือความเสี่ยงที่ต้องการคุ้มครอง ตัวอย่างเช่น:

  1. ประกันภัยรถยนต์: (ที่เราได้คุยกันไปแล้ว) คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ ทั้งของตัวเองและคู่กรณี รวมถึงความเสียหายต่อชีวิตและร่างกายของบุคคลที่เกี่ยวข้อง
  2. ประกันอัคคีภัย: คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า การระเบิด ภัยจากยานพาหนะ ภัยจากอากาศยาน ภัยเนื่องจากน้ำ (ไม่รวมน้ำท่วม) ต่อบ้านเรือน อาคาร หรือทรัพย์สิน
  3. ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง: คุ้มครองความเสียหายหรือสูญหายของสินค้าที่ขนส่งทางทะเล ทางอากาศ ทางบก รวมถึงความเสียหายต่อเรือเดินสมุทร
  4. ประกันภัยเบ็ดเตล็ด: เป็นหมวดหมู่ที่รวมประกันภัยอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่อยู่ใน 3 หมวดแรก เช่น:
    • ประกันภัยการเดินทาง: คุ้มครองความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง เช่น การยกเลิกเที่ยวบิน กระเป๋าเดินทางหาย เจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุระหว่างเดินทาง
    • ประกันภัยโจรกรรม: คุ้มครองความเสียหายหรือสูญหายของทรัพย์สินจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์
    • ประกันภัยความรับผิดของบุคคลที่สาม: คุ้มครองความรับผิดของผู้เอาประกันภัยที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลภายนอก
    • ประกันภัยเครื่องจักร: คุ้มครองความเสียหายต่อเครื่องจักรจากการใช้งานหรืออุบัติเหตุ
    • ประกันภัยสุขภาพ: แม้จะเกี่ยวกับบุคคล แต่ในประเทศไทย ประกันสุขภาพมักจะถูกจัดอยู่ในหมวดประกันวินาศภัย (แม้ในบางประเทศอาจถูกจัดอยู่ในประกันชีวิต ขึ้นอยู่กับการจัดหมวดหมู่ของแต่ละประเทศ)

ประโยชน์ของประกันวินาศภัย:

  • ลดภาระทางการเงิน: ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือชดเชยความเสียหายของทรัพย์สิน
  • สร้างความอุ่นใจ: มอบความมั่นใจและความอุ่นใจในการดำเนินชีวิตหรือธุรกิจ โดยไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
  • เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยง: ช่วยให้บุคคลและองค์กรสามารถจัดการความเสี่ยงทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากความเสียหายที่ไม่คาดฝันได้

กล่าวโดยสรุป ประกันวินาศภัยจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพย์สินและหนี้สิน ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตหรือดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและสบายใจยิ่งขึ้น

ประกันภัยขนส่ง

ประกันภัยขนส่ง (หรือที่เรียกว่า ประกันภัยสินค้าที่ขนส่ง หรือ Cargo Insurance หรือ Marine and Transit Insurance) เป็นประเภทหนึ่งของประกันวินาศภัยที่ให้ความคุ้มครองความเสียหายหรือความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับสินค้าหรือทรัพย์สินที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ไม่ว่าจะขนส่งด้วยวิธีใดก็ตาม เช่น ทางบก ทางน้ำ (ทะเล) หรือทางอากาศ

ทำไมประกันภัยขนส่งถึงสำคัญ?

การขนส่งสินค้ามีความเสี่ยงมากมายที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น:

  • อุบัติเหตุ: ยานพาหนะที่ใช้ขนส่งอาจเกิดอุบัติเหตุ เช่น รถชน รถคว่ำ เรือจม เรือเกยตื้น เครื่องบินตก รถไฟตกราง
  • ภัยธรรมชาติ: เช่น พายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว
  • การโจรกรรม: สินค้าอาจถูกขโมยระหว่างการขนส่ง
  • ความเสียหายจากการขนถ่าย: สินค้าอาจเสียหายขณะขนย้ายขึ้นลงจากยานพาหนะ หรือในระหว่างการเปลี่ยนถ่ายสินค้า
  • ความเสียหายอื่นๆ: เช่น ไฟไหม้ การระเบิด หรือความเสียหายจากน้ำ

หากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้โดยไม่มีประกันภัยขนส่ง ผู้ประกอบการหรือเจ้าของสินค้าอาจต้องรับภาระความเสียหายทางการเงินจำนวนมหาศาล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างรุนแรง

ประเภทของการประกันภัยขนส่งหลักๆ:

ประกันภัยขนส่งสามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะของเส้นทางการขนส่งและระดับความคุ้มครอง:

  1. การประกันภัยขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Marine Cargo Insurance):
    • เป็นการประกันภัยที่คุ้มครองสินค้าที่ขนส่งข้ามประเทศ มักจะครอบคลุมการขนส่งทางเรือเป็นหลัก แต่สามารถขยายความคุ้มครองไปถึงการขนส่งทางบก (ต้นทาง-ท่าเรือ/สนามบิน) และทางอากาศได้
    • ความคุ้มครองหลัก: มักอ้างอิงตามเงื่อนไขมาตรฐานสากลที่เรียกว่า Institute Cargo Clauses (ICC) ซึ่งแบ่งระดับความคุ้มครองออกเป็น:
      • ICC (A) – All Risks: ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด ครอบคลุมภัยทุกชนิดที่อาจเกิดขึ้นกับสินค้า ยกเว้นภัยที่ระบุเป็นข้อยกเว้นชัดเจน เช่น การเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ ความบกพร่องของสินค้าเอง สงคราม นิวเคลียร์
      • ICC (B): ให้ความคุ้มครองที่จำกัดลงมา เช่น ไฟไหม้ การระเบิด เรือจม/เกยตื้น การชนกันของยานพาหนะ ภัยจากแผ่นดินไหว/ภูเขาไฟระเบิด ภัยจากน้ำ
      • ICC (C): ให้ความคุ้มครองที่จำกัดที่สุด ครอบคลุมเฉพาะภัยใหญ่ๆ เช่น ไฟไหม้ การระเบิด เรือจม/เกยตื้น การชนกันของยานพาหนะ
  2. การประกันภัยขนส่งสินค้าภายในประเทศ (Inland Transit Insurance):
    • เป็นการประกันภัยที่คุ้มครองสินค้าที่ขนส่งอยู่ภายในประเทศ โดยส่วนใหญ่มักเป็นการขนส่งทางบก (รถบรรทุก) แต่อาจรวมถึงทางรถไฟ หรือเรือภายในประเทศ
    • ความคุ้มครองหลัก: อาจมีทั้งแบบคุ้มครองความเสี่ยงภัยทุกชนิด (All Risks) หรือแบบระบุภัย (Named Perils) ที่จะระบุเฉพาะภัยที่ได้รับความคุ้มครอง เช่น ไฟไหม้ การระเบิด ยานพาหนะพลิกคว่ำ ตกถนน หรือชนกับสิ่งอื่น
  3. ประกันภัยความรับผิดของผู้ขนส่ง (Carrier Liability Insurance):
    • อันนี้จะแตกต่างจาก 2 ข้อแรกตรงที่ ผู้เอาประกันภัยคือผู้ประกอบกิจการขนส่ง ไม่ใช่เจ้าของสินค้า
    • คุ้มครองความรับผิดตามกฎหมายของผู้ขนส่งต่อความเสียหาย, สูญหาย, หรือส่งมอบล่าช้าที่เกิดขึ้นกับสินค้าที่รับขนของผู้ว่าจ้าง โดยจะเป็นไปตามเงื่อนไขความรับผิดของผู้ขนส่งที่กฎหมายกำหนด

ประโยชน์ของการทำประกันภัยขนส่ง:

  • ลดความเสี่ยงทางการเงิน: ช่วยป้องกันความเสียหายทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากสินค้าสูญหายหรือเสียหาย
  • สร้างความอุ่นใจ: ทั้งผู้ส่งและผู้รับสินค้ารู้สึกมั่นใจและสบายใจมากขึ้นว่าสินค้าจะได้รับการดูแล
  • บริหารจัดการความเสี่ยง: เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออก หรือการขนส่งสินค้าจำนวนมาก
  • รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า: หากสินค้าเสียหาย บริษัทประกันจะช่วยชดเชยค่าเสียหาย ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ไม่กระทบความสัมพันธ์ทางธุรกิจ

การเลือกทำประกันภัยขนส่งควรพิจารณาจากมูลค่าของสินค้า เส้นทางการขนส่ง รูปแบบการขนส่ง และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดครับ

ประกันอัคคีภัย


ประกันอัคคีภัยคืออะไร?

ประกันอัคคีภัย คือ ประกันวินาศภัยประเภทหนึ่งที่ให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เกิดจาก ไฟไหม้ เป็นหลัก แต่ก็ครอบคลุมถึงภัยอื่นๆ ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ด้วย เช่น ฟ้าผ่า การระเบิด หรือภัยจากน้ำ โดยปกติแล้ว ประกันอัคคีภัยจะให้ความคุ้มครองแก่สิ่งปลูกสร้าง (ตัวอาคาร) และ/หรือทรัพย์สินภายในอาคาร เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าต่างๆ

ความสำคัญของประกันอัคคีภัย

  • ป้องกันความเสียหายทางการเงิน: ไฟไหม้สามารถสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้กับทรัพย์สิน ซึ่งอาจหมายถึงการสูญเสียบ้านทั้งหลัง โรงงาน หรือธุรกิจทั้งหมด หากไม่มีประกันอัคคีภัย ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือสร้างใหม่ทั้งหมดเอง ซึ่งอาจสูงลิบลิ่วจนไม่สามารถแบกรับไหว
  • สร้างความมั่นคงและอุ่นใจ: การมีประกันอัคคีภัยช่วยให้เจ้าของทรัพย์สินรู้สึกอุ่นใจว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ก็จะมีบริษัทประกันภัยเข้ามาช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่าย ทำให้สามารถฟื้นตัวจากความเสียหายได้เร็วขึ้น
  • ใช้เป็นหลักประกันเงินกู้: สถาบันการเงินมักจะกำหนดให้ผู้กู้ทำประกันอัคคีภัยสำหรับทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกัน (เช่น บ้าน) เพื่อลดความเสี่ยงของสถาบันการเงินเอง

ภัยที่ประกันอัคคีภัยโดยทั่วไปคุ้มครอง

แม้จะชื่อว่า “อัคคีภัย” แต่ความคุ้มครองไม่ได้จำกัดอยู่แค่ไฟไหม้เท่านั้น กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยมาตรฐานมักจะให้ความคุ้มครองภัยพื้นฐาน ดังนี้:

  1. ไฟไหม้: ความเสียหายที่เกิดจากการลุกไหม้ของไฟ ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม (ยกเว้นสาเหตุที่ระบุในข้อยกเว้น)
  2. ฟ้าผ่า: ความเสียหายที่เกิดจากฟ้าผ่าโดยตรง
  3. การระเบิด: ความเสียหายที่เกิดจากการระเบิดของแก๊ส หรือวัตถุระเบิดต่างๆ (บางกรมธรรม์อาจจำกัดเฉพาะการระเบิดของแก๊สหุงต้ม)
  4. ภัยจากยานพาหนะ: ความเสียหายต่ออาคารและทรัพย์สินภายในที่เกิดจากการชนของยานพาหนะ เช่น รถยนต์ หรือรถไฟ (โดยที่ยานพาหนะไม่ได้เป็นของเจ้าของอาคารหรือผู้เอาประกันภัย)
  5. ภัยจากอากาศยาน: ความเสียหายต่ออาคารและทรัพย์สินภายในที่เกิดจากการชนหรือร่วงหล่นของอากาศยาน หรือวัตถุที่ตกจากอากาศยาน
  6. ภัยเนื่องจากน้ำ: ความเสียหายที่เกิดจากน้ำที่ไหลล้นหรือแตกจากท่อประปา ถังน้ำ ระบบระบายน้ำฝน (มักจะไม่รวมถึงน้ำท่วม หรือท่อแตกใต้ดิน)

ภัยที่สามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้

นอกเหนือจากภัยมาตรฐานข้างต้น ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติม เพื่อให้ครอบคลุมภัยอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงสูงได้ เช่น:

  • ภัยน้ำท่วม: ความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วม หรือน้ำป่าไหลหลาก
  • ภัยแผ่นดินไหว: ความเสียหายที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของพื้นดินเนื่องจากแผ่นดินไหว
  • ภัยจากลมพายุ: ความเสียหายที่เกิดจากลมพายุพัดอย่างรุนแรง
  • ภัยลูกเห็บ: ความเสียหายที่เกิดจากลูกเห็บตกใส่
  • ภัยจลาจลและการนัดหยุดงาน: ความเสียหายที่เกิดจากการก่อความไม่สงบ การจลาจล หรือการนัดหยุดงาน
  • ภัยจากการกระทำที่เจตนาร้าย: ความเสียหายที่เกิดจากการก่อวินาศกรรม
  • ภัยควัน: ความเสียหายที่เกิดจากควัน

ประเภทของทรัพย์สินที่สามารถทำประกันอัคคีภัยได้

  • ที่อยู่อาศัย: บ้านพักอาศัย ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์
  • อาคารพาณิชย์: ร้านค้า สำนักงาน โรงแรม โรงพยาบาล
  • โรงงานอุตสาหกรรม: โรงงานผลิต คลังสินค้า
  • ทรัพย์สินภายใน: เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สต็อกสินค้า วัตถุดิบ เครื่องจักร

การเลือกประกันอัคคีภัยที่เหมาะสม ควรพิจารณาจากมูลค่าทรัพย์สินที่ต้องการคุ้มครอง ลักษณะการใช้งานของอาคาร และความเสี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่เพียงพอและคุ้มค่าที่สุดครับ

ติดต่อประกันภัย

https://monthathip.com

Facebook Comments
Message us