รวบแล้ว 4 ใน 7 แก๊งส์บุกบ้าน 2 ตายายปล้นยกตู้เซฟใน 5 นาทีกวาดร่วมล้าน -ชำแหละตู้เซฟแล้วโยนทิ้งบ่อทราย

สารภาพสิ้นไส้ที่แท้หลานยายยังหลบหนีเป็นหนอนบ่อนไส้พาพวกบุกบอก “ยายรวย” เผยหนึ่งในผู้ต้องหาวางแผนหากพบคนในบ้านอาจถึงตาย แฉ 1 ในคนร้ายได้ส่วนแบ่งเพียง 8 พันบาท หลังเกิดเหตุยังสุดแสบหลานยายยังวนเวียนเข้าออกในบ้านไม่รู้ไม่เห็น
กรณีคนร้าย 6 คนร้าย บุกเข้าไปที่บ้านเลขที่ 53/7 หมู่ 3 ตำบลบ้านราม อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่าบ้านหลังนี้มีผู้เสียหายสองตายายคือนายเฉลียว คงศรีชาย อายุ 76 ปี และนางปราณี คงศรีชาย อายุ 73 ปี 2 สามีภรรยาตายายผู้เสียหายอาศัย อยู่ที่บ้านหลังดังกล่าวโดยรอบบ้านนั้นลูกหลานได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ถึง 6 ตัว ซึ่งเป็นกล้องที่สามารถบันทึกภาพคนร้ายขณะก่อเหตุไว้ได้ทั้งหมด โดยหลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2565 เวลาประมาณ 11.20 นาที คนร้ายก่อเหตุเพียงประมาณ 5 นาที เข้ามาเอาตู้เซฟที่บรรจุทรัพย์สินไว้หลบหนีไปอย่างลอยนวล โดยโชคดีที่ไม่มีใครอยู่ในบ้านทำให้รอดจากการบาดเจ็บและเสียชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิดหลังจากผ่านไป 3 เดือนครอบครัวของตายายเริ่มร้อนใจเปิดเผยข้อมูลกับผู้สื่อข่าวประกอบกับเจ้าหน้าที่ได้ให้แจ้งว่าวงจรปิดเสียยิ่งสร้างความไม่มั่นใจในการติดตามคนร้าย หลังจากที่กลายเป็นข่าวโด่งดังปรากฏว่าตำรวจใช้เวลาหลังจากนั้นเพียง 4 วันสามารถติดตามคนร้ายได้ 4 ราย



ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา พลตำรวจตรีสมชาย ซื่อต่อตระกูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ชุดเจ้าหน้าที่ปองปราบปราม และชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 8 ได้คุมตัวนายวีรยุทธ หนูชัยแก้ว หรือโก้ อายุ 38 ปี หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ตั้งแต่วานนี้ นำไปชี้จุดที่ได้นำตู้เซฟที่ถูกตัดผ่าแล้วไปทิ้งในบ่อทราย ท้องที่ตำบลควนพัง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ห่างจากจุดเกิดเหตุไปราว 40 กิโลเมตร ท่ามกล่างความสนใจจากชาวบ้านในพื้นที่จำนวนมาก เจ้าหน้าที่ต้องใช้รถตักยกขึ้นมาจากน้ำเนื่องจากมีน้ำหนักถึงราว 400 กิโลกรัม อยู่ในสภาพถูกเจาะพังยับเยิน ก่อนที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจะเข้าเก็บหลักฐานอย่างละเอียด หลังจากนั้นได้เคลื่อนย้ายมายัง สภ.หัวไทร
โดยที่ สภ.หัวไทร ผู้เสียหายสองตายายคือนายเฉลียว คงศรีชาย อายุ 76 ปี และนางปราณี คงศรีชาย อายุ 73 ปี ทั้งคู่ได้มารอดูผู้ก่อเหตุ และระบุว่าดีใจที่เจ้าหน้าที่จับกุม 4 คนร้ายไว้ได้แล้ว พร้อมทั้งยึดทรัพย์สินมาได้ส่วนหนึ่งแต่ที่เสียใจคือหลานชายแท้ๆกลายเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาที่ชักพาคนร้ายมาก่อเหตุคือนายธวัชชัย สงเกิดทอง อายุ 38 ปี ทั้งๆที่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน โดยก่อนเกิดเหตุไม่นานยังมารับไปร่วมงานศพเพื่อนบ้าน และหลังจากเกิดเหตุแล้วยังวนเวียนมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งความแตก



ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวผู้ต้องหาอีก 2 รายคือนายภูริวัฒน์ หรือเจมส์ นวลสะอาด อายุ 30 ปี ชาวตำบลควนพัง อำเภอร่อนพิบูลย์ และนายรัฐมนูญ แข็งแรง อายุ 29 ปี เร่งสอบสวนอย่างละเอียดในรูปคดีรวมทั้งพฤติการณ์ที่เกิดเหตุ ส่วนนายชัยรัตน์ คงช่วย อายุ 56 ปี ชาวตำบลเสือหึง อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นผู้ต้องหาที่มีอายุมากสุดในทีม ได้ถูกคุมตัวอยู่ในห้องควบคุม โดยนายชัยรัตน์แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินสดมาเพียง 8 พันบาทเท่านั้น และยังบอกด้วยว่าโชคดีที่ไม่ใครอยู่บ้านขณะเกิดเหตุเนื่องจากมีผู้ร่วมทีมบางรายระบุว่าหากพบว่ามีคนอยู่ในบ้านจะต้องจับมัดและอาจต้องทำให้เสียชีวิตเพื่อเป็นการปิดปาก ส่วนผู้ต้องหาที่หลบหนีในขณะนี้และถูกออกหมายจับในคดีเดียวกันนี้คือนายธวัชชัย สงเกิดทอง อายุ 38 ปี หลานชายของนางปราณีผู้เสียหาย นายปัญญา ละพันธ์คำ อายุ 41 ปี ชาวจังหวัดบึงกาฬ และนายธวัชชัย แสงสุโท อายุ 39 ปี ชาวจังหวัดร้อยเอ็ด รวมผู้ต้องหาในคดีนี้ทั้งหมด 7 ราย



ส่วนบริเวณด้านหน้า สภ.หัวไทร ได้มีครอบครัวของผู้ต้องหา 3 ราย ได้มารอที่จะเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาและเมื่อพบกับนางปราณีผู้เสียหาย ภรรยาผู้ต้องหาได้เข้าไปยกมือไหว้ขอโทษนางปราณี และระบุว่าครอบครัวไม่มีใครรู้ระแคะระคายเลยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปถึงบ้านแล้วยังเข้าใจว่าเขาไปธุระอย่างอื่นหรือสามีอาจไปยุ่งเรื่องยาเสพติด มารู้ทีหลังว่าไปก่อเหตุนี้มา ขณะที่ภรรยาของนายวีระยุทธ หนูชัยแก้ว หรือโก้ ระบุว่าเมื่อ 3 ปีก่อนนายโก้ทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่งที่ภูเก็ต หลังจากเกิดโรคโควิดได้ถูกปลดออกกลับมาอยู่ในหัวไทรเลี้ยงกุ้ง แต่ไม่ทราบว่าไปได้รับการชักชวนจากกลุ่มเพื่อนหรือใครบ้างมาก่อเหตุที่บ้านก็ไม่มีทองหรือเงินที่ได้มามีเพียงปืนขนาด .38 1 กระบอกที่เจ้าหน้าที่ยึดไปได้ทราบว่าเป็นของผู้เสียหาย ส่วนรถที่ก่อเหตุนั้นได้นำไปขายในเต๊นส์รถแล้วแต่ไม่ทราบว่าที่ไหน
นายวีรยุทธ หนูชัยแก้ว หรือโก้ ยอมรับว่านายธวัชชัย หรือเมฆหลานชายของผู้เสียหายเป็นผู้วางแผนและมาชักชวนโดยทราบว่าวางแผนล่วงหน้ามาราว 2 เดือน แต่มาชวนตนเองประมาณ 7 วันก่อนเกิดเหตุ ส่วนตู้เซพหลังจากได้ไปแล้วมี 4 คนได้ช่วยกันตัดเปิดและเอาทรัพย์สินในตู้ออกมาแบ่งกันมีทองรูปพรรณหลายเส้น พระเครื่องเลี่ยมทองหลายองค์ อาวุธปืน เงินสด สำหรับพระเครื่องเลี่ยมทองและทองคำรูปพรรณบางส่วนนั้นได้นำไปฝากญาติไว้ ทราบว่าขณะนี้เจ้าหน้ากำลังไปตรวจยึด
“ส่วนสาเหตุที่นายธวัชชัยหรือเมฆบอกนั้นไม่ได้มีความขัดแย้งหรืออะไร บอกว่าป้ามีฐานะดีป้ารวย แต่ไม่เคยให้เงินให้ทองกับเขาเขาจึงชักชวนไปก่อเหตุ ส่วนอาชีพของนายธวัชชัยนั้นทราบว่าเป็นข้าราชการและไม่ทราบว่าหน่วยงานอะไร”
พลตำรวจตรีสมชาย ซื่อต่อตระกูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ระบุว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้นิ่งนอนใจนับแต่หลังจากเกิดเหตุได้เร่งสืบสวนอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจากทีมสืบสวนทั้งจากพื้นที่จังหวัด ภาค 8 และกองปราบ ร่วมกันติดตามมาโดยตลอดจนกระทั่งนำไปสู่การจับกุม ซึ่งอาจไม่ได้สื่อสารกับผู้เสียหายในบางประเด็นจนก่อให้เกิดความเข้าใจไม่ตรงกัน ส่วนของกลางที่ยึดมาได้แล้วในขณะนี้คืออาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นลูกซองสั้น และอาวุธปืนของผู้เสียหาย 1 กระบอก อีก 1 กระบอกกำลังติดตาม ส่วนทองคำนั้นทราบว่าบางส่วนได้ถูกนำไปจำนำในร้านทองแห่งหนึ่งในนครศรีธรรมราชอยู่ในระหว่างติดตามเช่นกันสำหรับข้อหาทั้ง 7 รายในขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้สอบตามพฤติการณ์คือร่วมกันลักทรัพย์ บุกรุกเคหะสถาน และร่วมกันในความผิด พรบ.อาวุธปืน