แม่หลังคลอด กับบทความน่ารู้ คำถามน่าสนใจที่พบกันอยู่กับการใช้ชีวิตของคุณแม่ยุคใหม่ อย่างไหนดี อย่างไหนไม่ควรทำ เรานำเรื่องราวดีๆ จาก Milla มาให้อ่านกันจ้า
1. หลัก 3 ดูด ช่วยให้น้ำนมแม่มาเร็ว
ว่าที่แม่มือใหม่ กำลังกังวลอยู่ใช่ไหมล่ะ หลังคลอดแล้วน้ำนมจะไหลช้าไหมนะ? วันนี้เรามี “หลัก 3 ดูด” ที่จะช่วยให้น้ำนมของแม่มาเร็วมาฝากกันค่ะ
- ดูดเร็ว : ยิ่งเริ่มไวยิ่งดี โดยจะให้ลูกน้อยดูดน้ำนมจากเต้าของแม่หลังคลอดภายใน 1 ชม.
- ดูดบ่อย : ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ แม่ต้องให้ลูกดูดน้ำนมจากเต้าประมาณ 2-3 ชม.
- ดูดถูกวิธี : คางแนบกับเต้า อ้าริมฝีปาก ปากบนล่างบานออกคล้ายปากปลา อมให้ลึกถึงลานนม
นอกจากหลัก 3 ดูด ที่จะช่วยให้น้ำนมของแม่ไหลเร็วแล้ว การทาน MILLA ก็สามารถช่วยกระตุ้นให้น้ำนมมีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นด้วยนะ แถมยังช่วยดูแลแม่รอบด้านด้วย ครบกว่านี้ไม่มีแล้ว
2. เคล็ดลับวิธีเพิ่มน้ำนมแม่แบบสปีด โปรตีนแม่หลังคลอด
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อทดแทนน้ำที่สูญเสียไป
- ให้ลูกเข้าเต้าบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
- ปั๊มนมเก็บไว้เมื่อเจ้าตัวเล็กหลับ
- บีบ หรือนวดเต้านม ระหว่างการให้นม
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว
- ทานอาหารที่ช่วยเสริมการเพิ่มปริมาณน้ำนม
- ทาน Milla เป็นประจำ เพราะมีสมุนไพรช่วยกระตุ้นน้ำนม
3. แม่หลังคลอดต้องการโปรตีนเท่าไหร่
ขึ้นชื่อว่า “แม่” หลาย ๆ อย่างต้องเปลี่ยนไป ทั้งรูปร่าง ผิวพรรณ และอาหารการกิน ที่บอกเลยว่าส่งผลกับน้ำนมมาก หากเลือกไม่ดี นอกจากน้ำนมจะไม่มาแล้ว หุ่นสวย ๆ ก็อาจจะลาขาดกันไปเลยก็ได้
แม่หลายคนจะเคยได้ยินว่า แม่หลังคลอด ต้องการโปรตีนมากนะ แล้วปริมาณเท่าไหร่กันแน่ที่เหมาะสมกับแม่หลังคลอด เรามีคำตอบมาฝากแม่ ๆ แล้วจ้า
เพราะโปรตีนสำคัญมาก เนื่องจากใช้ในการผลิตน้ำนม และการซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่สูญเสียไประหว่างคลอด แม่จึงต้องเพิ่มปริมาณโปรตีนประมาณ 70 กรัม/วัน เพื่อให้เพียงพอต่อร่างกาย
เจ้าโปรตีนนี้ยังช่วยเสริมกล้ามเนื้อ และช่วยให้อิ่มนานขึ้น ลดปัญหาแม่อยากของหวานระหว่างวันได้ดี แต่การจะเพิ่มโปรตีนให้พอนั้นดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับแม่หลาย ๆ คน เพราะทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการเลี้ยงลูกจนไม่มีเวลาเตรียมอาหาร แม่บางคนก็ต้องทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย เวลายิ่งน้อยกว่าเดิม
4. บทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับคอลลาเจนที่ส่งผลต่อผิว
ในปัจจุบันที่เทรนด์ความงามและการชะลอวัยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทำให้หลายคนเริ่มหันมาสนใจดูแลตัวเองด้วยวิธีต่าง ๆ ซึ่งการรับประทานคอลลาเจนก็เป็นหนึ่งในวิธีเหล่านั้น เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้ลดลง ทำให้ผิวมีริ้วรอยดูมีอายุ แนวคิดการรับประทานคอลลาเจนเสริมเพื่อทดแทนคอลลาเจนที่สลายไป จึงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวังผลลัพธ์ว่าจะสามารถช่วยแก้ปัญหาการสูญเสียคอลลาเจนเหล่านั้นได้
ทั้งนี้อาจมีบางคนตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดถึงต้องรับประทานผลิตภัณฑ์คอลลาเจนเสริมโดยเฉพาะ เพราะโดยพื้นฐานแล้วคอลลาเจนก็คือโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่ได้รับจากการรับประทานเนื้อสัตว์ กระดูกอ่อนหมู – ไก่ ก็น่าจะเพียงพอต่อการเสริมคอลลาเจนให้ร่างกายได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ความเข้าใจที่ผิด แต่เพราะคอลลาเจนนั้นมีหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทนั้นต่างให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน และหากต้องการรับประทานคอลลาเจนเพื่อการดูแลผิวโดยเฉพาะ การรับประทานคอลลาเจนชนิด Bioactive Ultra Collagen Peptide จะส่งผลดีต่อผิวได้มากที่สุด
เนื่องจาก Bioactive Ultra Collagen Peptide เป็นคอลลาเจนชนิดเดียวกันกับที่พบในผิวหนังของมนุษย์ สามารถสกัดได้จากปลาทะเลน้ำลึกด้วยวิธีการไฮโดรไลซ์ (Hydrolyzed) จะได้คอลลาเจนที่มีขนาดโมเลกุลที่เล็กและสามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยอาหารของร่างกายอีก มีผลวิจัยรองรับว่าทำให้ร่างกายเราสามารถนำคอลลาเจนชนิดนี้ไปชดเชยกับคอลลาเจนที่สูญเสียไปจากสารอนุมูลอิสระ แสงแดด ความชรา และปัจจัยต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในปี 2019 มีการศึกษาทางคลินิกในกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงอายุมากกว่า 35 ปีจำนวน 72 คน ศึกษาผลลัพธ์ที่ได้จากการรับประทาน Bioactive Ultra Collagen Peptide โดยแบ่งเป็นกลุ่มให้ยาหลอก 36 คนและกลุ่มที่ได้รับประทานคอลลาเจนเสริม 36 คนเป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่ได้รับประทาน Bioactive Ultra Collagen Peptide นั้นมีผิวที่ชุ่มชื้นขึ้น, มีความยืดหยุ่นมากขึ้น, ผิวหยาบกร้านลดลง และมีความหนาแน่นของคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ในปี 2015 มีงานวิจัยทางคลินิกโดยให้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มได้รับยาหลอก และกลุ่มที่ได้รับ Bioactive Ultra Collagen Peptide พบว่ากลุ่มที่ได้รับประทานคอลลาเจนติดต่อกัน 8 สัปดาห์มีความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น, ความหนาแน่นของคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพิ่มขึ้น รวมถึงการสลายของคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงสามารถสรุปได้ว่าการรับประทาน Bioactive Ultra Collagen Peptide นั้นมีส่วนช่วยในการดูแลผิวได้จริง
ดังนั้นสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวด้วยการรับประทานคอลลาเจน จึงสามารถวางใจได้ว่าเมื่อรับประทานแล้วจะส่งผลดีต่อผิวจริง ๆ โดยต้องเลือกรับประทานชนิดที่เป็น Bioactive Ultra Collagen Peptide เท่านั้น ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้มากกว่า 90% และมีงานวิจัยรองรับว่าเมื่อรับประทานแล้วจะส่งผลดีต่อผิวทั้งในแง่ของการลดริ้วรอย, ความอ่อนนุ่มของผิว, ความชุ่มชื้น และความหนาแน่นของคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง
ด้วยความปรารถนาดี
Interpharma Thailand
ที่มา: Bolke L, Schlippe G, Gerß J, Voss W. A Collagen Supplement Improves Skin Hydration, Elasticity, Roughness, and Density: Results of a Randomized, Placebo-Controlled, Blind Study. Nutrients. 2019 Oct 17;11(10):2494. doi: 10.3390/nu11102494. PMID: 31627309; PMCID: PMC6835901.
Asserin J, Lati E, Shioya T, Prawitt J. The effect of oral collagen peptide supplementation on skin moisture and the dermal collagen network: evidence from an ex vivo model and randomized, placebo-controlled clinical trials. J Cosmet Dermatol. 2015 Dec;14(4):291-301. doi: 10.1111/jocd.12174. Epub 2015 Sep 12. PMID: 26362110.
5. ฝ้า – กระ มาจากไหน? ดูแลอย่างไรไม่ให้มาเยือน?
ขึ้นชื่อว่าใบหน้า ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากให้เนียนใสไร้ตำหนิ แต่ความเป็นจริงมักไม่เป็นอย่างนั้น เพราะด้วยหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายในหรือปัจจัยภายนอก ล้วนโน้มนำให้เกิดปัญหากับผิวหน้าได้ทั้งสิ้น สำหรับสาว ๆ แล้วเรื่องริ้วรอยแห่งวัยอาจเป็นปัญหาใหญ่ที่ให้ความใส่ใจ จนลืมไปว่าฝ้าและกระ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ใหญ่และแก้ยากไม่แพ้กัน
ทั้งนี้เมื่อพูดถึงฝ้าและกระ หลายคนอาจยังสับสนอยู่ว่าปัญหาผิวทั้ง 2 ชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร แบบไหนเรียกว่าฝ้า แล้วแบบไหนเรียกว่ากระ?
เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย เราอาจใช้การสังเกตถึงปัญหาของผิวที่เกิดขึ้น โดย “กระ” จะมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ กลม ๆ มีขอบชัดเจน กระจายทั่วใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณแก้มและหน้าผาก ในขณะที่ “ฝ้า” จะมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงเข้ม เป็นกระจุกรวมกัน พบได้บ่อยในบริเวณโหนกแก้ม เหนือริมฝีปาก คาง และหน้าผาก
แม้ปัญหาผิวทั้งสองจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่หนึ่งในจุดร่วมที่เหมือนกันก็คือสาเหตุของปัญหา โดยทั้งฝ้าและกระนั้นมีที่มาจากการได้รับรังสี UVA และ UVB ที่เข้ามาทำร้ายผิวโดยตรงเป็นเวลานาน ๆ จนทำให้เซลล์เมนาโลไซต์ (Melanocytes) ผลิตเมลานินออกมามากเกินความจำเป็น จนทำให้เกิดจุดกระและรอยฝ้าขึ้นบนใบหน้า นอกจากนี้ยังอาจเกิดได้จากความผิดปกติของฮอร์โมนภายในร่างกาย รวมถึงการแพ้เครื่องสำอางได้อีกด้วยเช่นกัน
เราจะป้องกันการเกิดฝ้า – กระ ได้อย่างไร?
อย่างที่ได้กล่าวไปว่ารังสี UVA และ UVB คือตัวการสำคัญของการเกิดฝ้า – กระ การหลีกเลี่ยงการเผชิญกับรังสี UVA และ UVB จึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการทาครีมกันแดด สวมหมวก ใช้ผ้าคลุมหรือร่ม เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวต้องพบกับแสงแดดโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10:00 – 16:00 น. ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่แดดแรงมากที่สุด
นอกจากนี้ ยังอาจหลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือฮอร์โมนที่เป็นต้นเหตุให้เกิดฝ้า เช่นยาคุมกำเนิด อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนยาคุมกำเนิด (ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนการเปลี่ยนยา) รวมถึงหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีผลทำให้เกิดฝ้าด้วยเช่นกัน
หรืออาจเลือกรับประทานจุลินทรีย์โปรไบโอติกเป็นประจำ ซึ่งในปัจจุบันได้มีงานวิจัยค้นพบว่าสามารถลดความรุนแรงของฝ้าได้ทั้งขนาดและความเข้มถึง 4 กลไก* ประกอบด้วย การยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Tyrosinase Inhibition), การต้านกระบวนการอักเสบ (Anti-inflammatory Effect), ปกป้องผิวจากผลกระทบจากรังสียูวีต่อผิวหนัง (ลด UV Effect ต่อผิวหนัง) และการต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidative Effect) ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจและได้ผลดีเช่นเดียวกัน
6. รวมท่าให้นมลูกที่ถูกต้อง
คุณแม่มือใหม่ กำลังเจอปัญหากันอยู่รึเปล่าคะ… ต้องให้นมเจ้าตัวเล็กท่าไหนถึงจะถูกต้อง วันนี้เรามีเกร็ดเล็ก ๆ มาฝากค่ะ
6.1 ท่าลูกนอนขวางบนตัก (Cradle hold)
อุ้มลูกไว้บนตัก โดยให้ลูกอยู่ในท่านอนตะแคงเข้าหาตัวแม่ ประคองหัวของลูกอยู่สูงกว่าลำตัวเล็กน้อย และท้ายทอยต้องอยู่ระหว่างแขน กับมืออีกข้างของแม่ที่คอยประคองเต้านม
6.2 ท่าลูกนอนขวางบนตักแบบประยุกต์ (Modified/cross cradle hold)
คล้ายกับท่าแรก แต่ต่างตรงที่ใช้มือข้างเดียวกับเต้านม คอยประคองเต้าที่ลูกดูด ส่วนมืออีกข้างคอยรองต้นคอ และท้ายทอยของลูก
6.3 ท่าอุ้มลูกฟุตบอล (Clutch hold หรือ Football hold)
ให้ลูกนอนกึ่งตะแคง กึ่งนอนหงาย ขาชี้ไปด้านหลังของแม่ โดยมีมือคอยจับต้นคอ และท้ายทอย กอดลูกให้กระชับกับสีข้าง แล้วให้ลูกดูดนมจากเต้าข้างเดียวกับที่ใช้มือจับลูก ส่วนมืออีกข้างให้ประคองเต้านมที่ลูกดูด
6.4 ท่านอน (Side lying position)
แม่จะนอนตะแคงเข้าหาลูก โดยสะโพกและหลังตรง ยกหัวขึ้นเล็กน้อย หรือใช้การนอนหมอนสูง ให้ปากลูกอยู่ตรงกับหัวนม มือด้านล่างประคองลำตัวลูกให้เข้ามาชิดกับแม่ ส่วนมืออีกข้างให้ประคองเต้านม
7. ข้อดีของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ใคร ๆ ก็คิดว่าการเลี้ยงลูกด้วย “นมแม่” เป็นสิ่งสำคัญ… แต่สำคัญยังไง จำเป็นแค่ไหน ทำไมต้องเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ วันนี้เรามีสาระดี ๆ มาฝากกันจ้า
องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟ แนะนำให้แม่ทั่วโลกให้นมลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียว ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 6 เดือน และสามารถให้ต่อเนื่องได้ไปจนถึงอายุ 2 ขวบเลย
เพราะในน้ำนมแม่จะเต็มไปด้วยสารอาหารที่เพียงพอสำหรับลูกน้อย นับได้ว่าเป็นวัคซีนเข็มแรกเลยก็ว่าได้ ทั้งช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ ช่วยให้ลูกฟื้นตัวเร็วหากเจ็บป่วย
นอกจากลูกน้อยจะได้ประโยชน์แล้ว แม่เองก็ได้เช่นกัน เพราะการให้นมลูกจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นได้ประโยชน์แบบคอมโบ ดีทั้งแม่ ดีทั้งลูกเลยนะ รู้แบบนี้คุณแม่ที่ยังให้นมเจ้าตัวจิ๋วอยู่ก็ต้องขยันหาวิธีช่วยเรียกน้ำนมให้มารัว ๆ แล้วน้า
8. Prebiotic และ Probiotic
ได้ยินชื่อ Prebiotic และ Probiotic มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วทั้งสองอย่างนี้คืออะไรกันแน่? วันนี้เราจะพาแม่ ๆ ไปหาคำตอบพร้อมกันจ้า
- โพรไบโอติกส์ (Probiotic) คือจุลินทรีย์ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรคที่อยู่ในลำไส้ และยังช่วยเสริมการดูดซึมอาหาร เสริมภูมิคุ้มกัน มักหาได้จากอาหารที่ผ่านการหมัก เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เป็นต้น
- พรีไบโอติกส์ (Prebiotic) คืออาหารของ Probiotics เป็นแหล่งพลังงาน และยังช่วยในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดนี้ ให้มีปริมาณมากพอต่อร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยปรับสมดุลในลำไส้ ทำให้ลดการเกิดท้องผูกได้ดีอีกด้วย
เพราะทั้งสองอย่างล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย “Milla” จึงคิดค้นสูตรมาเพื่อตอบโจทย์แม่หลังคลอดที่มีอาการท้องผูก โดยใส่ Prebiotic เข้ามา เพื่อสุขภาพที่ดีของแม่นั่นเอง
9. จริงหรือมั่ว? นมแม่ดีกับลูกแค่ 6 เดือน
ว่ากันว่านมแม่มีประโยชน์เยอะมาก แถมคุณหมอก็แนะนำว่าควรให้ลูกน้อยอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งแม่บางคนก็ให้ถึงแค่ 6 เดือนจริง ๆ แล้วค่อยเสริมอย่างอื่นเข้าไป…
แต่หารู้ไม่! นมแม่ยังให้นมเจ้าตัวจิ๋วได้ต่อไปอีกนะ แถมยังได้ประโยชน์ทั้งแม่ และลูกด้วยนะจะบอกให้ ว่าแต่มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยจ้า
ประโยชน์ต่อลูก : ในน้ำนมแม่เต็มไปด้วยสารอาหารที่เพียงพอสำหรับลูกน้อย นับได้ว่าเป็นวัคซีนเข็มแรกเลยก็ว่าได้ เพราะจะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ ช่วยให้ลูกฟื้นตัวเร็วหากเจ็บป่วย
ประโยชน์ต่อแม่ : การให้นมลูกจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน
ดังนั้น แม่สามารถให้นมตัวเล็กต่อไปได้จนถึงอายุ 2 ปีเลยน้า เพราะนมแม่แน่ที่สุด แต่ถ้ากังวลกลัวนมจะไม่พอ แนะนำให้ทาน Milla เสริมเข้าไป น้ำนมไหลปรู๊ด พุ่งปรี๊ด เอาอยู่ชัวร์!
10. เตือน! คาเฟอีนส่งผลต่อน้ำนม แม่หลังคลอด
เลิกได้เลิก! ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นประจำ ส่งผลต่อน้ำนมที่ให้ลูกน้อยแน่นอน บอกเลยว่าไม่ดีแน่ถ้ายังฝืนดื่มต่อไป
คาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลาง ทำให้สมองตื่นตัว แต่หากได้รับในปริมาณมากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ ที่สำคัญคือคาเฟอีนสามารถส่งต่อผ่านน้ำนมแม่ได้นะ
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเจ้าตัวเล็ก ทำให้นอนน้อยลง ตื่นง่ายขึ้น กระสับกระส่าย ดูดนมได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะระบบประสาทส่วนกลางได้รับการกระตุ้นจากคาเฟอีน รวมถึงแม่ที่ได้รับคาเฟอีนเกินวันละ 450 มล. อาจทำให้น้ำนมลดลงตามไปด้วย
คาเฟอีนไม่ได้มีแค่ในกาแฟเท่านั้น เพราะเครื่องดื่มชนิดอื่น เช่น ชา โกโก้ ช็อกโกแลต ก็ต่างมีคาเฟอีนกันทั้งนั้น แล้ว Milla ทั้ง 2 รสชาติ จะมีคาเฟอีนที่เป็นอันตรายด้วยหรือเปล่า บอกเลยว่าอย่าเพิ่งตกใจไปค่า